Sunday 16 September 2007

25 เมษายน 2550 (วันพุธ)

วันนี้เป็นวันเริ่มต้นการเดินทางไกล ที่ไกลที่สุดในชีวิตของก้อ ไม่น่าเชื่อเลย อีกไม่ถึง24ชม. ก้อก็จะไปปรากฏตัว ณ อีกซีกโลกหนึ่งแล้ว ...ถึงแม้เวลาจะใกล้เข้ามาทุกขณะ แต่ก็ยังคงจินตานาการไม่ออกเลยว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเด็กผมม้าคนนี้บ้าง ที่แน่ๆ เรื่องราวจากนี้ไปคงเป็นประสบการณ์ที่สมควรแก่การจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชีวิต อย่างไม่มีวันลืม ความรู้สึกก่อนเดินทาง เป็นอะไรที่มากมายมหาศาลจริงๆ ทั้งเครียด ทั้งกังวลในความฉลาดน้อยของตัวเอง กลัวไปต่างๆนานา จะมีอะไรผิดพลาดรึเปล่านะ? แถมบรรยากาศในครอบครัวก็ตึงเครียดซะเหลือเกิน ทุกคนกลัวก้อจะไปไม่ถึง เพราะว่าก้อเป็นผู้หญิงที่แสนจะเรื่อยเปื่อยเฉื่อยชาเอามากๆ อันนี้เป็นนิสัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ทุกคนก็เลยอดห่วงไม่ได้ อีกความรู้สึกนึงที่มีมากไม่แพ้ความกลัวเลย ก็คือความรู้สึกขอบคุณทุกๆคน ขอบคุณครอบครัวและญาติๆ โดยเฉพาะพ่อ แม่ ป้าติ๋ว น้าเล็ก น้าเกล็ด ฯลฯ สำหรับก้อ การได้ไปถึงอเมริกาครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับครอบครัวที่ฐานะไม่ค่อยจะดีอย่างเรา พ่อกับแม่ยอมเสียเงินที่หามาแบบยากแสนยาก ป้าและน้าช่วยเหลือติดต่อ ให้คำแนะนำ ให้พอคเกตมันนี่ ให้เสื้อผ้า กระเป๋าเดินทาง เพื่อให้ก้อได้มีโอกาสไปเจอโลกกว้าง ไปเจอสิ่งดีๆ ทั้งๆที่ตัวพ่อกับแม่เองยังไม่เคยมีโอกาสนี้เลย ก้อคงเป็นเด็กผมม้าที่โชคดีที่สุดในโลกจริงๆ
เป็นธรรมเนียมของบ้านก้อ ก่อนที่จะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น จะต้องมีปากเสียงกันชนิดตึงเครียดขั้นสุด ซึ่งความรู้สึกตอนนั้นเป็นอะไรที่ย่ำแย่มาก แต่เมื่อมานึกย้อนหลังแล้ว ก็ได้รู้ว่ามันเกิดจากความรักความห่วงใยที่มีให้กันจนมากเกินไป กลายเป็นความเครียด และจบลงด้วยฉากน้ำตาท่วมจอ ในบ้านหลังเนี้ย ก้อนี่แหละ เจ้าน้ำตาที่สุด ก่อนไปอเมริกาก็ร้องไห้ไป2-3รอบเลย
คืนเดินทาง ป้าติ๋วขับรถมาจากอยุธยามาค้างที่บ้านเพื่อช่วยก้อจัดกระเป๋า อบรมก่อนเดินทาง แล้วก็ไปส่งก้อที่สนามบิน การจัดกระเป๋าเป็นอีกภารกิหนึ่งที่ยากมากๆ ต้องใช้ความรู้จากศาสตร์หลายแขนงในการคำนวณน้ำหนัก การจัดการพื้นที่ในกระเป๋า การคาดเดาว่าจะใช้ของใช้จำเป็นอะไรบ้าง ภารกิจนี้ยกความดีความชอบให้แม่และป้าติ๋วไปเลยเต็มๆ
3.00น. ล้อรถหมุนมุ่งหน้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิ อากาศค่อนข้างร้อน แต่ก้อต้องแต่งตัวเผื่ออากาศหนาว พอถึงสนามบิน เราก็มีอาการงงๆกับการจอดรถเล็กน้อย ยังไม่ชินกับสนามบินที่สุดแสนจะใหญ่โตขนาดนี้ ถึงสนามบินประมาณ 4.30 น. พอถึงปุ๊บก็รีบโทรติดต่อเพื่อนร่วมเดินทางก่อนเลย ที่ไปด้วยกันเที่ยวบินเดียวกันมีทั้งหมด4คนถ้วน ชาย2หญิง2 คนแรกที่ก้อโทรหาก็คือ เน เป็นหนุ่มหน้าตี๋จากม.กรุงเทพที่คุยmsnกันไม่กี่ครั้งก่อนหน้านี้ คนต่อมาก็คือส้มโอ สาวผิวเข้มจากรามคำแหงอินเตอร์ และคนสุดท้ายคือเต๊นหนุ่มมข.
ตอนเช็คอินตั๋วเครื่องบินเพื่อนโหลดกระเป๋าลงใต้ท้องเครื่อง ก้อเช็คอินพร้อมกันกับเน เพราะอีก2คน ชิงเช็คอินไปก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้ก็เลยทำให้เนโชคดี ได้นั่งคู่กันตลอดสี่ไฟลท์ และต้องมีหน้าที่คอยบริการก้อตลอดการเดินทาง ช่วยยกกระเป๋า ช่วยทำนู่นทำนี่ แมนซะเหลือเกินนายเนนี่นะ และด้วยท่าทางคล่องแคล่วดูเป็นงานที่สุดของเน พ่อกับแม่จึงวางใจฝากเนื้อฝากตัวก้อให้เนช่วยดูแลเป็นการใหญ่ พ่อกับแม่จะรู้มั้ยนะ ว่าก้อรู้สึกอายในความฉลาดน้อยของตัวเองมากๆ
และแล้ว สี่สหายจากไทยแลนด์ก็ได้เดินเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร ใหญ่โตจริงๆ เดินไกลใช้ได้เลย กว่าจะถึงเกทที่พวกเราจะต้องรอขึ้นเครื่อง การพูดคุยระหว่างกันในช่วงเริ่มรู้จักเป็นไปได้ด้วยดี ทุกคนคุยง่ายหมด ก็เลยรู้สึกสบายใจหน่อย จากนี้ไป เราสี่คนต้องร่วมหัวจมท้ายด้วยกันจนกว่าจะกลับ
ไฟลท์แรก คือกรุงเทพฯ-นาริตะ ก้อได้นั่งริมหน้าต่าง แต่นั่งบริเวณปีกเครื่องบินก็เลยเห็นวิวข้างนอกบ้าง แต่ก็ไม่เต็มที่ อาหารที่เสิร์ฟบนเครื่องก็ดูดี มีรสชาติอร่อยใช้ได้ ปกติก้อก็กินง่ายอยูแล้วด้วย อะไรก็อร่อยไปซะหมด
6ชม.ผ่านไป เครื่องลงจอดที่นาริตะ ก่อนเครื่องลงจอดได้มีโอกาสเห็นเมืองญี่ปุ่นจากบนเครื่องบิน แล้วก็ได้ตระหนักซึ้งถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเมืองญี่ปุ่นจริงๆ ทุกอย่างแทบจะเป็นสี่เหลี่ยม เรียบร้อย เป็นระเบียบไปซะหมด ความประทับใจสำหรับเที่ยวบินนี้ของก้อ คงจะเป็นอาหาร ส่วนเนคงจะเป็นแอร์โฮสเตจจากญี่ปุ่นที่เนบ่นอุบอิบตลอดเลยว่าน่ารัก ตอนเครื่องลงจอดนั้นรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย นี่เรามาเหยีบแผ่นดินญี่ปุ่นแล้วหรอเนี่ย? ถึงแม้จะแค่ในสนามบินก็เถอะ ได้ชื่นชมสนามบินนาริตะแค่ไม่นานก็ต้องรีบเดินไปต่อเครื่องเพื่อไปที่ซีแอทเทิล